ประชาธิปไตย ประกอบด้วยคำว่า
" ประชา" หมายถึง ประชาชน หรือ ปวงชน
อธิปไตย หมายถึง ความเป็นใหญ่
ประชาชนจะมีความเป็นใหญ่ในการแสดงมติได้ก็จำเป็นที่ทุกคนรวมกันเป็นปวงชนนั้นต้องมี " สิทธิและหน้าที่ของมนุษย์ชน" อันเป็นสิทธิและหน้าที่ตามธรรมชาติของทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ คือ สิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาค
วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2555
วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2555
ความเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย
1. ความเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย
จากปัญหาที่ว่า ใครเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุด หรือ อำนาจอธิปไตยในรัฐ สามารถอธิบายได้ด้วย 5 แนวความคิด ตามลำดับวิวัฒนาการ ดังนี้
แนวคิดที่ 1,2 และ 3 ถือว่าเป็นแนวความคิดที่เก่าแก่ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับกันเท่าใดนักในปัจจุบัน ในที่นี้ จึงมิได้ยกมาอรรถาธิบาย ฉะนั้น จะได้พิจารณาเฉพาะแนวคิดสำคัญในประการที่ 4 กับ 5 เท่านั้น
1) แนวคิดว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน
แนวคิดว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนนี้ จะถือว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย โดยที่ทุกคนใช้อำนาจอธิปไตยเองในกิจการทั้งปวงโดยตรง หรืออาจจัดให้มีการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตยโดยอ้อม คือ ให้ประชาชนเลือกผู้แทนฯ ขึ้น ทำกา แนวคิดดังกล่าวนี้เกิดขึ้นจากหลักการทางการเมืองของ Jean Jacques Rousseau (1712-1778) เจ้าของแนวคิดสัญญาประชาคม ที่กล่าวขึ้นมา เมื่อ 200 ปีก่อน ในหนังสือ The Social Contract หรือ สัญญาประชาคม
เพื่อต่อต้านระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในฝรั่งเศส
โดยมีหลักการสำคัญว่าThe sovereignty of the people หรือ อำนาจอธิปไตยของปวงชน พบว่าหนังสือ สัญญาประชาคม ในตอนที่ 1 บทที่ 6 ซึ่งรุสโซเห็นว่าสังคมเกิดจากความยินยอมพร้อมใจกันของมนุษย์ การที่มนุษย์ทุกคนยินยอมมารวมเป็นสังคมนั้น ก่อให้เกิดสัญญาประชาคมขึ้น ดังที่รุสโซได้กล่าวเอาไว้ว่า “…เราแต่ละคนต่างมอบตัวเราเอง และพลังอำนาจของตัวเราให้มาอยู่ใต้เจตจำนงทั่วไปร่วมกัน และเราก็ได้มาซึ่งองค์คณะที่สมาชิกแต่ละคนเป็นส่วนที่แยกไม่ได้ของทั้งหมด…” อำนาจอธิปไตยของสังคมไม่อาจแบ่งแยกได้เป็นอำนาจที่เป็นของผู้คนทั้งหมด ไม่ใช่ของคนบางส่วน เจตจำนงทั่วไปคือ เจตจำนงของประชาชนทั้งองค์คณะสัญญาประชาคม ซึ่งก่อตั้งสังคมบนพื้นฐานของความยินยอมของบุคคล ให้อำนาจอธิปไตยขององค์คณะสังคมเข้ามาแทนที่เสรีภาพธรรมชาติ ไม่อาจจะมากำหนดขอบเขตของอำนาจได้ หลักประกันที่แน่นอนที่สุดของสิทธิของบุคคล คืออำนาจอธิปไตยปวงชนเอง เสรีภาพ คือการเคารพเชื่อฟังกฎหมาย เสรีภาพจะทำให้เป็นผลขึ้นมาได้ แต่โดยองค์อธิปัตย์ แทนที่จะถูกคุกคามโดยองค์อธิปัตย์ ซึ่งองค์อธิปัตย์ในทรรศนะของรุสโซ จึงได้แก่ เจตนารมณ์ร่วมกันของปวงชนทั้งมวล ซึ่งเป็นเจตนารมณ์ของสังคม ไม่ใช่ของปัจเจกชน แต่เป็นเจตนารมณ์สูงสุด อันหมายถึง องค์คณะการเมืองที่ทุกคนในประชาคมมีส่วนร่วมทั้งในฐานะที่เป็นผู้ปกครอง และผู้อยู่ใต้ปกครองนั่นเอง
ดังนั้น ทุกคนในสังคมจะมีส่วนในอำนาจอธิปไตยเท่าๆ กัน ในสังคมที่มีอิสระเสรีภาพ
การถือทฤษฎีอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนจะมีผลตามมาดังนี้
จากปัญหาที่ว่า ใครเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุด หรือ อำนาจอธิปไตยในรัฐ สามารถอธิบายได้ด้วย 5 แนวความคิด ตามลำดับวิวัฒนาการ ดังนี้
1) แนวคิดว่าด้วยความมีอำนาจสูงสุดเป็นของพระผู้เป็นเจ้า |
แนวคิดที่ 1,2 และ 3 ถือว่าเป็นแนวความคิดที่เก่าแก่ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับกันเท่าใดนักในปัจจุบัน ในที่นี้ จึงมิได้ยกมาอรรถาธิบาย ฉะนั้น จะได้พิจารณาเฉพาะแนวคิดสำคัญในประการที่ 4 กับ 5 เท่านั้น
1) แนวคิดว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน
แนวคิดว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนนี้ จะถือว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย โดยที่ทุกคนใช้อำนาจอธิปไตยเองในกิจการทั้งปวงโดยตรง หรืออาจจัดให้มีการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตยโดยอ้อม คือ ให้ประชาชนเลือกผู้แทนฯ ขึ้น ทำกา แนวคิดดังกล่าวนี้เกิดขึ้นจากหลักการทางการเมืองของ Jean Jacques Rousseau (1712-1778) เจ้าของแนวคิดสัญญาประชาคม ที่กล่าวขึ้นมา เมื่อ 200 ปีก่อน ในหนังสือ The Social Contract หรือ สัญญาประชาคม
โดยมีหลักการสำคัญว่าThe sovereignty of the people หรือ อำนาจอธิปไตยของปวงชน พบว่าหนังสือ สัญญาประชาคม ในตอนที่ 1 บทที่ 6 ซึ่งรุสโซเห็นว่าสังคมเกิดจากความยินยอมพร้อมใจกันของมนุษย์ การที่มนุษย์ทุกคนยินยอมมารวมเป็นสังคมนั้น ก่อให้เกิดสัญญาประชาคมขึ้น ดังที่รุสโซได้กล่าวเอาไว้ว่า “…เราแต่ละคนต่างมอบตัวเราเอง และพลังอำนาจของตัวเราให้มาอยู่ใต้เจตจำนงทั่วไปร่วมกัน และเราก็ได้มาซึ่งองค์คณะที่สมาชิกแต่ละคนเป็นส่วนที่แยกไม่ได้ของทั้งหมด…” อำนาจอธิปไตยของสังคมไม่อาจแบ่งแยกได้เป็นอำนาจที่เป็นของผู้คนทั้งหมด ไม่ใช่ของคนบางส่วน เจตจำนงทั่วไปคือ เจตจำนงของประชาชนทั้งองค์คณะสัญญาประชาคม ซึ่งก่อตั้งสังคมบนพื้นฐานของความยินยอมของบุคคล ให้อำนาจอธิปไตยขององค์คณะสังคมเข้ามาแทนที่เสรีภาพธรรมชาติ ไม่อาจจะมากำหนดขอบเขตของอำนาจได้ หลักประกันที่แน่นอนที่สุดของสิทธิของบุคคล คืออำนาจอธิปไตยปวงชนเอง เสรีภาพ คือการเคารพเชื่อฟังกฎหมาย เสรีภาพจะทำให้เป็นผลขึ้นมาได้ แต่โดยองค์อธิปัตย์ แทนที่จะถูกคุกคามโดยองค์อธิปัตย์ ซึ่งองค์อธิปัตย์ในทรรศนะของรุสโซ จึงได้แก่ เจตนารมณ์ร่วมกันของปวงชนทั้งมวล ซึ่งเป็นเจตนารมณ์ของสังคม ไม่ใช่ของปัจเจกชน แต่เป็นเจตนารมณ์สูงสุด อันหมายถึง องค์คณะการเมืองที่ทุกคนในประชาคมมีส่วนร่วมทั้งในฐานะที่เป็นผู้ปกครอง และผู้อยู่ใต้ปกครองนั่นเอง
การถือทฤษฎีอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนจะมีผลตามมาดังนี้
1) การออกเสียงเลือกตั้งเป็นสิทธิ ซึ่งเราจะใช้สิทธิดังกล่าว หรือไม่ก็ย่อมได้ |
2) ผู้แทนฯ เป็นตัวแทนของประชาชน ประชาชนสามารถควบคุมผู้แทนฯ ได้เมื่อประชาชนไม่พอใจผู้แทนฯ ก็สามารถที่จะถอดถอนออกจากตำแหน่งได้นอกจากนี้ การที่ประชาชนมอบอำนาจให้ผู้แทนฯ เป็นการมอบในลักษณะที่ผู้แทนฯ ต้องอยู่ภายใต้อาณัติของประชาชน (ผู้ที่เลือกตั้งผู้แทนฯ เหล่านั้น)ผู้แทนฯ แต่ละคนไม่ถือว่าเป็นผู้แทนฯ ของราษฎรทั้งหมด แต่อย่างใด |
3) ประชาชนมีส่วนร่วมในทางกฎหมายและการเมือง เช่น มีสิทธิเสนอร่างกฎหมาย มีสิทธิออกเสียงแสดงประชามติในเรื่องสำคัญๆ เป็นต้น |
วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555
แนวคิดว่าด้วยอำนาจอธิปไตย
2. แนวคิดว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของชาติ 
แนวคิดว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของชาติ หรือ National sovereignty หมายความว่า อำนาจอธิปไตยนั้นไม่ใช่ของประชาชน แต่เป็นของชาติ ชาติเกิดจากการรวมกันของราษฎรทุกคน ซึ่งถ้าแยกเป็นคนแต่ละคนแล้วจะไม่มีชาติได้เลย ตรงกันข้ามถ้ารวมกันทุกคนแล้ว ย่อมเป็นชาติ อันเป็นทุกสิ่งทุกอย่างจากการเสนอของนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส คือ Sieyes หรือซีเอเยส์ (1748-1836) ในหนังสือภาษาฝรั่งเศสชื่อ Qu’est–ce le Tiers Etat? ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า อะไร คือชนชั้นที่สาม (หรือใกล้เคียงน่าจะว่าอะไรคือชนชั้นสามัญชน) ที่ซึ่งมีเนื้อหาเพื่อโต้แย้งหลักการเรื่องอำนาจอธิปไตยของประชาชนอย่างแท้จริงในทฤษฎีของซีเอเยส์ อำนาจอธิปไตยทั้งปวงเป็นของชาติ หรือ ของรัฐไม่ใช่ของประชาชน กล่าวคือ อำนาจอธิปไตยอยู่ที่ชาติ คณะบุคคลบุคคลจะใช้อำนาจนี้ได้ก็ต่อเมื่อได้รับมอบหมายจากชาติ ตามทฤษฎีนี้ องค์อธิปัตย์คือชาติราษฎรแต่ละคนนั้นไม่ได้เป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของอำนาจอธิปไตย แต่ราษฎรเข้ามามีส่วนร่วมในการใช้อำนาจนี้ก็แต่ในฐานะที่เป็นสมาชิกของชาติเท่านั้น
โดยที่หลักการเรื่องอำนาจอธิปไตยเป็นของชาติหรือของรัฐนั้น ได้มีที่มาส่วนหนึ่งจากมาตรา 3 ของปฏิญญาดังกล่าว ซึ่งกำหนดว่า “…หลักเรื่องอำนาจอธิปไตยทั้งหมดดำรงอยู่กับชาติห้ามมิให้กลุ่มบุคคลหรือองค์กรหรือบุคคลใดใช้อำนาจซึ่งไม่ได้รับมอบอย่างชัดแจ้งจากชาติ…”
หลักการดังกล่าวนี้ได้กำหนดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อจะจำกัดสิทธิของประชาชนในการออกเสียงเลือกตั้ง ภายหลังจากการล้มล้างอำนาจของกษัตริย์แล้ว เนื่องจากเกรงว่ากลุ่มของตนซึ่งเป็นผู้มั่งมีอาจเสียอำนาจไป เพราะอำนาจอธิปไตยนั้นจะตกไปเป็นของประชาชนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ จึงไดักำหนดให้อำนาจอธิปไตยเป็นของชาติ เพราะเมื่ออำนาจอธิปไตยเป็นของชาติหรือรัฐแล้ว รัฐย่อมมีอำนาจออกกฎหมายมาตัดหรือจำกัดสิทธิประชาชนชั้นกรรมกร หรือผู้ยากจนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างไรก็ได้
แต่ทว่าในปัจจุบันประเทศฝรั่งเศสซึ่งเป็นประเทศที่มีการวิวัฒนาการการปกครองระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์ก็ได้ปฏิเสธหลักการดังกล่าวแล้ว โดยที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของฝรั่งเศสได้บัญญัติหลักการเกี่ยวกับเรื่องอำนาจอธิปไตยเอาไว้เสียใหม่ว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนดังที่ ปรากฏอยู่อย่างเด่นชัดในมาตรา 3 ว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ซึ่งใช้อำนาจดังกล่าวโดยทางผู้แทนหรือโดยการลงประชามติ”
แนวความคิดของซีเอเยส์นี้ เชื่อว่า ชาติมีอยู่ก่อนสิ่งอื่นใดและเป็นที่มาของทุกสิ่งเจตนารมณ์ของชาติจึงเป็นเจตนารมณ์ที่ชอบด้วยกฎหมาย เจตนารมณ์ของชาติจะแสดงออกได้ก็แต่โดยชาติ โดยผ่านผู้แทนของชาติ และผู้แทนที่ได้รับเลือกโดยประชาชนนั้น เมื่อได้รับเลือกแล้วไม่ใช่ผู้แทนของราษฎรที่เลือก แต่เป็นผู้แทนของชาติ สภาพความเป็นผู้แทนของชาตินั้นจึงเป็นอิสระไม่ถูกผูกมัดโดยสัญญาใดๆ กับประชาชนผู้เลือก และมีอิสระที่จะทำแทนชาติได้เต็มที่
การถือทฤษฎีอำนาจอธิปไตยเป็นของชาติจะมีผลตามมาดังนี้
ตามความเข้าใจทั่วไปในปัจจุบัน ลักษณะสำคัญของอำนาจอธิปไตยแบบสมบูรณ์ (absolute sovereignty) มีลักษณะที่สำคัญ ดังต่อไปนี้
แนวคิดว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของชาติ หรือ National sovereignty หมายความว่า อำนาจอธิปไตยนั้นไม่ใช่ของประชาชน แต่เป็นของชาติ ชาติเกิดจากการรวมกันของราษฎรทุกคน ซึ่งถ้าแยกเป็นคนแต่ละคนแล้วจะไม่มีชาติได้เลย ตรงกันข้ามถ้ารวมกันทุกคนแล้ว ย่อมเป็นชาติ อันเป็นทุกสิ่งทุกอย่างจากการเสนอของนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส คือ Sieyes หรือซีเอเยส์ (1748-1836) ในหนังสือภาษาฝรั่งเศสชื่อ Qu’est–ce le Tiers Etat? ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า อะไร คือชนชั้นที่สาม (หรือใกล้เคียงน่าจะว่าอะไรคือชนชั้นสามัญชน) ที่ซึ่งมีเนื้อหาเพื่อโต้แย้งหลักการเรื่องอำนาจอธิปไตยของประชาชนอย่างแท้จริงในทฤษฎีของซีเอเยส์ อำนาจอธิปไตยทั้งปวงเป็นของชาติ หรือ ของรัฐไม่ใช่ของประชาชน กล่าวคือ อำนาจอธิปไตยอยู่ที่ชาติ คณะบุคคลบุคคลจะใช้อำนาจนี้ได้ก็ต่อเมื่อได้รับมอบหมายจากชาติ ตามทฤษฎีนี้ องค์อธิปัตย์คือชาติราษฎรแต่ละคนนั้นไม่ได้เป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของอำนาจอธิปไตย แต่ราษฎรเข้ามามีส่วนร่วมในการใช้อำนาจนี้ก็แต่ในฐานะที่เป็นสมาชิกของชาติเท่านั้น
| ดังเช่น กรณีประเทศฝรั่งเศส ซึ่งแต่เดิมนั้นปกครองประเทศด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยที่หลังจากเกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ขึ้นในประเทศฝรั่งเศส ก็ได้มีการล้มเลิกระบอบการปกครองดังกล่าวในปี ค.ศ. 1789 และได้มีการประกาศปฏิญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและสิทธิของพลเมืองเมื่อ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1789 (Declaration des Droits de I’ Homme et du Citoyen du 26 aout 1789) ซึ่งเป็นเอกสารที่วางหลักของปรัชญาการเมืองการปกครองไว้หลายประการ | |
Sieyes |
โดยที่หลักการเรื่องอำนาจอธิปไตยเป็นของชาติหรือของรัฐนั้น ได้มีที่มาส่วนหนึ่งจากมาตรา 3 ของปฏิญญาดังกล่าว ซึ่งกำหนดว่า “…หลักเรื่องอำนาจอธิปไตยทั้งหมดดำรงอยู่กับชาติห้ามมิให้กลุ่มบุคคลหรือองค์กรหรือบุคคลใดใช้อำนาจซึ่งไม่ได้รับมอบอย่างชัดแจ้งจากชาติ…”
หลักการดังกล่าวนี้ได้กำหนดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อจะจำกัดสิทธิของประชาชนในการออกเสียงเลือกตั้ง ภายหลังจากการล้มล้างอำนาจของกษัตริย์แล้ว เนื่องจากเกรงว่ากลุ่มของตนซึ่งเป็นผู้มั่งมีอาจเสียอำนาจไป เพราะอำนาจอธิปไตยนั้นจะตกไปเป็นของประชาชนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ จึงไดักำหนดให้อำนาจอธิปไตยเป็นของชาติ เพราะเมื่ออำนาจอธิปไตยเป็นของชาติหรือรัฐแล้ว รัฐย่อมมีอำนาจออกกฎหมายมาตัดหรือจำกัดสิทธิประชาชนชั้นกรรมกร หรือผู้ยากจนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างไรก็ได้
แต่ทว่าในปัจจุบันประเทศฝรั่งเศสซึ่งเป็นประเทศที่มีการวิวัฒนาการการปกครองระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์ก็ได้ปฏิเสธหลักการดังกล่าวแล้ว โดยที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของฝรั่งเศสได้บัญญัติหลักการเกี่ยวกับเรื่องอำนาจอธิปไตยเอาไว้เสียใหม่ว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนดังที่ ปรากฏอยู่อย่างเด่นชัดในมาตรา 3 ว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ซึ่งใช้อำนาจดังกล่าวโดยทางผู้แทนหรือโดยการลงประชามติ”
แนวความคิดของซีเอเยส์นี้ เชื่อว่า ชาติมีอยู่ก่อนสิ่งอื่นใดและเป็นที่มาของทุกสิ่งเจตนารมณ์ของชาติจึงเป็นเจตนารมณ์ที่ชอบด้วยกฎหมาย เจตนารมณ์ของชาติจะแสดงออกได้ก็แต่โดยชาติ โดยผ่านผู้แทนของชาติ และผู้แทนที่ได้รับเลือกโดยประชาชนนั้น เมื่อได้รับเลือกแล้วไม่ใช่ผู้แทนของราษฎรที่เลือก แต่เป็นผู้แทนของชาติ สภาพความเป็นผู้แทนของชาตินั้นจึงเป็นอิสระไม่ถูกผูกมัดโดยสัญญาใดๆ กับประชาชนผู้เลือก และมีอิสระที่จะทำแทนชาติได้เต็มที่
การถือทฤษฎีอำนาจอธิปไตยเป็นของชาติจะมีผลตามมาดังนี้
| 1) การออกเสียงเลือกตั้งเป็นหน้าที่ ซึ่งเราจะต้องทำ ไม่ใช่ สิทธิ |
2) ถึงแม้ผู้แทนฯ จะมาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่ก็ใช่ว่าผู้แทนฯ เหล่านั้น จะเป็นตัวแทนของประชาชน แต่อย่างใด ผู้แทนฯ เหล่านั้น คือ ตัวแทนของชาติ การกระทำต่างๆ อาทิ การออกกฎหมาย ถือว่าเป็นของชาติ ผู้แทนฯ จะไม่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของประชาชน หรือ พรรคการเมืองใด |
| 3) ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในทางกฎหมายกับการเมือง |
2.1 ลักษณะแห่งอำนาจอธิปไตย
ตามความเข้าใจทั่วไปในปัจจุบัน ลักษณะสำคัญของอำนาจอธิปไตยแบบสมบูรณ์ (absolute sovereignty) มีลักษณะที่สำคัญ ดังต่อไปนี้
1) มีความสมบูรณ์เด็ดขาด (Absoluteness) กล่าวคืออำนาจอธิปัตย์ต้องไม่ถูกจำกัดจากสิ่งใดๆ คือ โดยทั่วไปแล้วในรัฐหนึ่งๆ ย่อมประกอบด้วยอำนาจต่างๆ หลายประการ แต่อำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน ทั้งที่เป็นอำนาจที่เด็ดขาด และบริบูรณ์ในตัวเองโดยไม่มีอำนาจใด หรือกรรมสิทธิ์ของเอกชนคนใดมาลบล้างได้ 2) ความครอบคลุมทั่วไปรอบด้าน (Comprehensiveness) กล่าวคือ อำนาจอธิปัตย์ต้องแผ่ขยายไปยังทุกคน และทุกกลุ่มคนภายในรัฐ ไม่ว่าเป็นบุคคลหรือดินแดนหรือองค์กรใดๆ ก็ตาม 3) ความยืนยงถาวร (Permanence) กล่าวคือ อำนาจอธิปัตย์จะต้องอยู่ตลอดไป ถึงแม้ว่าประมุขของรัฐจะเสียชีวิต คณะรัฐบาลจะเปลี่ยนแปลง หรือโครงสร้างรัฐจะถูกปรับปรุงใหม่ กล่าวคือ อำนาจอธิปไตยย่อมอยู่คู่กับรัฐเสมอไปโดยไม่สูญสลาย นักปรัชญาการเมืองกล่าวว่าการมีอำนาจอธิปไตยเป็นองค์ประกอบข้อหนึ่งของรัฐ เพราะฉะนั้นถ้าสูญสิ้นอำนาจอธิปไตยก็เท่ากับว่าสูญสิ้นความเป็นรัฐ 4) ความไม่อาจถูกแบ่งแยกได้ (Indivisibility) กล่าวคือ อำนาจอธิปัตย์เป็นอำนาจสูงสุด เป็นหนึ่งเดียว แบ่งแยกไม่ได้ แม้รัฐจะมอบอำนาจให้องค์กรต่างๆ ทำหน้าที่ และความรับผิดชอบ แต่อำนาจนั้นสามารถที่จะถอดถอนคืนได้ กล่าวคือ อำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจทางนามธรรมจึงไม่มีผู้ใดมองเห็น แต่ที่ทราบว่ามีอยู่ในรัฐเพราะผลของการใช้อำนาจอธิปไตย หรือผลของการมีอำนาจอธิปไตยเป็นสิ่งที่เข้าใจได้หรืออาจแลเห็นได้ในบางกรณี ตัวอย่างเช่น การที่รัฐดำรงอยู่ได้ก็เพราะมีอำนาจอธิปไตยหรือการที่บุคคลหนึ่งสามารถบังคับบัญชาผู้อื่นได้โดยไม่มีใครมาบังคับบัญชาตนก็เพราะบุคคลนั้นมีอำนาจอธิปไตยนั่นเอง |
วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555
อำนาจอธิปไตย และ อำนาจอธิปัตย์
อำนาจอธิปไตย คือ อำนาจซึ่งแสดงความเป็นใหญ่ ความเป็นอิสระ ความไม่ขึ้นแก่ใคร หรือ ต้องเชื่อฟังคำสั่ง คำบัญชาของผู้ใดที่เหนือตนโดยปราศจากความยินยอมของตน อำนาจอธิปไตย คือ คุณสมบัติขั้นพื้นฐานของรัฐ และเป็นอำนาจสูงสุดที่รัฐมีอยู่เหนือประชากรของตน ไม่มีขีดจำกัดใดๆ ตามกฎหมายที่จะใช้อำนาจนั้น ดังเราจะเห็นได้ว่า รัฐเปิดให้บุคคลมีเสรีภาพในการกระทำการใดๆ ตามต้องการได้ แต่รัฐพร้อมเสมอที่จะแสดงอำนาจ หรือเข้าไปแทรกแซง การกระทำของประชาชน อำนาจสูงสุดที่อาจเรียกว่า
อำนาจอธิปัตย์ จึงมีความชอบธรรมที่จะใช้กำลังเหนือบุคคลอื่นในสังคมการเมืองหนึ่งๆ ในทางกฎหมายมหาชน อำนาจอธิปไตยถือว่าเป็นอำนาจสูงสุด (Supremacy) ในการปกครองประเทศ หรืออำนาจที่แสดงความเป็นเจ้าของประเทศนั่นเอง และถือว่าเป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งของรัฐ เป็นองค์ประกอบสำคัญในอันที่จะแสดงว่า ดินแดนนั้นๆ เป็นรัฐ หรือ เป็นประเทศเอกราชได้ หรือไม่แนวคิดเรื่องอำนาจอธิปไตยที่กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐนี้ มีที่มาจากนักคิดคนสำคัญ คือ Jean Bodin (1529-1596) กับ โธมัส ฮอปส์ โดยสร้างจากแนวคิดเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อสนับสนุนความสมบูรณ์และความสูงสุดของอำนาจรัฐ หรือว่าเป็นการพยายามสร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจของผู้ปกครองนั่นเอง
วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
อำนาจอธิปไตย หมายถึงอำนาจสูงสุดในการปกครองรัฐ
อำนาจอธิปไตย คือ อำนาจสูงสุดในการปกครองรัฐ หรือปกครองประเทศ อำนาจอธิปไตยนี้โดยหลักสากลแต่ละรัฐจะมีองค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตยอยู่ 3 องค์กร ได้แก่
อำนาจนิติบัญญัติ หน่วยงานที่ใช้ คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
มีหน้าที่ ออกกฎหมาย พิจารณา เงิน งบประมาณ และตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล
อำนาจบริหาร หน่วยงานที่ใช้ คือ รัฐบาลและคณะรัฐมนตรี
มีหน้าที่ นำกฎหมายบังคับใช้ และออกกฎหมายบางส่วนที่มีความสำคัญน้อยกว่านิติบัญญัติ
อำนาจตุลาการ หน่วยงานที่ใช้ คือ หน่วยงานศาลและกระทรวงยุติธรรม
มีหน้าที่ ตีความตัวบทกฎหมายและ รัฐธรรมนูญ รวมทั้งตัดสินพิจารณาคดี
อำนาจนิติบัญญัติ หน่วยงานที่ใช้ คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
มีหน้าที่ ออกกฎหมาย พิจารณา เงิน งบประมาณ และตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล
อำนาจบริหาร หน่วยงานที่ใช้ คือ รัฐบาลและคณะรัฐมนตรี
มีหน้าที่ นำกฎหมายบังคับใช้ และออกกฎหมายบางส่วนที่มีความสำคัญน้อยกว่านิติบัญญัติ
อำนาจตุลาการ หน่วยงานที่ใช้ คือ หน่วยงานศาลและกระทรวงยุติธรรม
มีหน้าที่ ตีความตัวบทกฎหมายและ รัฐธรรมนูญ รวมทั้งตัดสินพิจารณาคดี
วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
ประชาธิปไตยกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในกรีซโบราณ
ประชาธิปไตยถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในกรีซโบราณ แต่วีธีปฏิบัติแบบประชาธิปไตยปรากฎในสังคมอยู่ก่อนแล้ว วัฒนธรรมอื่นๆ หลังจากได้มีส่วนสำคัญ ต่อวิวัฒนาการของประชาธิปไตย เช่น โรมันโบราณ ยุโรป อเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ ประชาธิปไตย ได้ถูกเรียกว่า " ระบบการปกครองสุดท้าย " และได้แพร่หลายอย่างมากไปทั่วโลก สิทธิในการออกเสียงลงมติ ในหลายประเทศได้ขยายวงกว้างขึ้น
องค์กรสหประชาชาติ ได้ประกาศกำหนดวันที่ 15 กันยายน ของทุกปี เป็นวันประชาธิปไตยสากล.....
องค์กรสหประชาชาติ ได้ประกาศกำหนดวันที่ 15 กันยายน ของทุกปี เป็นวันประชาธิปไตยสากล.....
ประชาธิปไตย และ อำนาจอธิปไตย หมายถึง
ประชาธิปไตย หมายถึง สิทธิเสรีภาพที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน สามารถเรียกร้องสิทธิของตนเองที่พึงมี แต่ต้องไม่ผิดต่อกระบวนการยุติธรรม หรือข้อกฎหมายต่างๆ
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)
