วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

แนวคิดว่าด้วยอำนาจอธิปไตย

   2. แนวคิดว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของชาติ

                      แนวคิดว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของชาติ หรือ National sovereignty หมายความว่า อำนาจอธิปไตยนั้นไม่ใช่ของประชาชน แต่เป็นของชาติ ชาติเกิดจากการรวมกันของราษฎรทุกคน ซึ่งถ้าแยกเป็นคนแต่ละคนแล้วจะไม่มีชาติได้เลย ตรงกันข้ามถ้ารวมกันทุกคนแล้ว ย่อมเป็นชาติ อันเป็นทุกสิ่งทุกอย่างจากการเสนอของนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส คือ Sieyes หรือซีเอเยส์ (1748-1836) ในหนังสือภาษาฝรั่งเศสชื่อ Qu’est–ce le Tiers Etat? ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า อะไร คือชนชั้นที่สาม (หรือใกล้เคียงน่าจะว่าอะไรคือชนชั้นสามัญชน) ที่ซึ่งมีเนื้อหาเพื่อโต้แย้งหลักการเรื่องอำนาจอธิปไตยของประชาชนอย่างแท้จริงในทฤษฎีของซีเอเยส์ อำนาจอธิปไตยทั้งปวงเป็นของชาติ หรือ ของรัฐไม่ใช่ของประชาชน กล่าวคือ อำนาจอธิปไตยอยู่ที่ชาติ คณะบุคคลบุคคลจะใช้อำนาจนี้ได้ก็ต่อเมื่อได้รับมอบหมายจากชาติ ตามทฤษฎีนี้ องค์อธิปัตย์คือชาติราษฎรแต่ละคนนั้นไม่ได้เป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของอำนาจอธิปไตย แต่ราษฎรเข้ามามีส่วนร่วมในการใช้อำนาจนี้ก็แต่ในฐานะที่เป็นสมาชิกของชาติเท่านั้น

Sieyes
         ดังเช่น กรณีประเทศฝรั่งเศส ซึ่งแต่เดิมนั้นปกครองประเทศด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยที่หลังจากเกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ขึ้นในประเทศฝรั่งเศส ก็ได้มีการล้มเลิกระบอบการปกครองดังกล่าวในปี ค.ศ. 1789 และได้มีการประกาศปฏิญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและสิทธิของพลเมืองเมื่อ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1789 (Declaration des Droits de I’ Homme et du Citoyen du 26 aout 1789)     ซึ่งเป็นเอกสารที่วางหลักของปรัชญาการเมืองการปกครองไว้หลายประการ
Sieyes

                     โดยที่หลักการเรื่องอำนาจอธิปไตยเป็นของชาติหรือของรัฐนั้น ได้มีที่มาส่วนหนึ่งจากมาตรา 3 ของปฏิญญาดังกล่าว ซึ่งกำหนดว่า “…หลักเรื่องอำนาจอธิปไตยทั้งหมดดำรงอยู่กับชาติห้ามมิให้กลุ่มบุคคลหรือองค์กรหรือบุคคลใดใช้อำนาจซึ่งไม่ได้รับมอบอย่างชัดแจ้งจากชาติ…”

                     หลักการดังกล่าวนี้ได้กำหนดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อจะจำกัดสิทธิของประชาชนในการออกเสียงเลือกตั้ง ภายหลังจากการล้มล้างอำนาจของกษัตริย์แล้ว เนื่องจากเกรงว่ากลุ่มของตนซึ่งเป็นผู้มั่งมีอาจเสียอำนาจไป เพราะอำนาจอธิปไตยนั้นจะตกไปเป็นของประชาชนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ จึงไดักำหนดให้อำนาจอธิปไตยเป็นของชาติ เพราะเมื่ออำนาจอธิปไตยเป็นของชาติหรือรัฐแล้ว รัฐย่อมมีอำนาจออกกฎหมายมาตัดหรือจำกัดสิทธิประชาชนชั้นกรรมกร หรือผู้ยากจนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างไรก็ได้

                     แต่ทว่าในปัจจุบันประเทศฝรั่งเศสซึ่งเป็นประเทศที่มีการวิวัฒนาการการปกครองระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์ก็ได้ปฏิเสธหลักการดังกล่าวแล้ว โดยที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของฝรั่งเศสได้บัญญัติหลักการเกี่ยวกับเรื่องอำนาจอธิปไตยเอาไว้เสียใหม่ว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนดังที่ ปรากฏอยู่อย่างเด่นชัดในมาตรา 3 ว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ซึ่งใช้อำนาจดังกล่าวโดยทางผู้แทนหรือโดยการลงประชามติ”

                     แนวความคิดของซีเอเยส์นี้ เชื่อว่า ชาติมีอยู่ก่อนสิ่งอื่นใดและเป็นที่มาของทุกสิ่งเจตนารมณ์ของชาติจึงเป็นเจตนารมณ์ที่ชอบด้วยกฎหมาย เจตนารมณ์ของชาติจะแสดงออกได้ก็แต่โดยชาติ โดยผ่านผู้แทนของชาติ และผู้แทนที่ได้รับเลือกโดยประชาชนนั้น เมื่อได้รับเลือกแล้วไม่ใช่ผู้แทนของราษฎรที่เลือก แต่เป็นผู้แทนของชาติ สภาพความเป็นผู้แทนของชาตินั้นจึงเป็นอิสระไม่ถูกผูกมัดโดยสัญญาใดๆ กับประชาชนผู้เลือก และมีอิสระที่จะทำแทนชาติได้เต็มที่

                     การถือทฤษฎีอำนาจอธิปไตยเป็นของชาติจะมีผลตามมาดังนี้
                     1) การออกเสียงเลือกตั้งเป็นหน้าที่ ซึ่งเราจะต้องทำ ไม่ใช่ สิทธิ
                      2) ถึงแม้ผู้แทนฯ จะมาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่ก็ใช่ว่าผู้แทนฯ เหล่านั้น จะเป็นตัวแทนของประชาชน แต่อย่างใด ผู้แทนฯ เหล่านั้น คือ ตัวแทนของชาติ การกระทำต่างๆ อาทิ การออกกฎหมาย ถือว่าเป็นของชาติ ผู้แทนฯ  จะไม่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของประชาชน หรือ พรรคการเมืองใด
                      3) ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในทางกฎหมายกับการเมือง


        2.1  ลักษณะแห่งอำนาจอธิปไตย

          ตามความเข้าใจทั่วไปในปัจจุบัน ลักษณะสำคัญของอำนาจอธิปไตยแบบสมบูรณ์ (absolute sovereignty) มีลักษณะที่สำคัญ ดังต่อไปนี้

          1) มีความสมบูรณ์เด็ดขาด (Absoluteness) กล่าวคืออำนาจอธิปัตย์ต้องไม่ถูกจำกัดจากสิ่งใดๆ คือ โดยทั่วไปแล้วในรัฐหนึ่งๆ ย่อมประกอบด้วยอำนาจต่างๆ หลายประการ แต่อำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน ทั้งที่เป็นอำนาจที่เด็ดขาด และบริบูรณ์ในตัวเองโดยไม่มีอำนาจใด หรือกรรมสิทธิ์ของเอกชนคนใดมาลบล้างได้

          2) ความครอบคลุมทั่วไปรอบด้าน (Comprehensiveness) กล่าวคือ อำนาจอธิปัตย์ต้องแผ่ขยายไปยังทุกคน และทุกกลุ่มคนภายในรัฐ ไม่ว่าเป็นบุคคลหรือดินแดนหรือองค์กรใดๆ ก็ตาม

          3) ความยืนยงถาวร (Permanence) กล่าวคือ อำนาจอธิปัตย์จะต้องอยู่ตลอดไป ถึงแม้ว่าประมุขของรัฐจะเสียชีวิต คณะรัฐบาลจะเปลี่ยนแปลง หรือโครงสร้างรัฐจะถูกปรับปรุงใหม่ กล่าวคือ อำนาจอธิปไตยย่อมอยู่คู่กับรัฐเสมอไปโดยไม่สูญสลาย นักปรัชญาการเมืองกล่าวว่าการมีอำนาจอธิปไตยเป็นองค์ประกอบข้อหนึ่งของรัฐ เพราะฉะนั้นถ้าสูญสิ้นอำนาจอธิปไตยก็เท่ากับว่าสูญสิ้นความเป็นรัฐ

          4) ความไม่อาจถูกแบ่งแยกได้ (Indivisibility) กล่าวคือ อำนาจอธิปัตย์เป็นอำนาจสูงสุด เป็นหนึ่งเดียว แบ่งแยกไม่ได้ แม้รัฐจะมอบอำนาจให้องค์กรต่างๆ ทำหน้าที่ และความรับผิดชอบ แต่อำนาจนั้นสามารถที่จะถอดถอนคืนได้ กล่าวคือ อำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจทางนามธรรมจึงไม่มีผู้ใดมองเห็น แต่ที่ทราบว่ามีอยู่ในรัฐเพราะผลของการใช้อำนาจอธิปไตย หรือผลของการมีอำนาจอธิปไตยเป็นสิ่งที่เข้าใจได้หรืออาจแลเห็นได้ในบางกรณี ตัวอย่างเช่น การที่รัฐดำรงอยู่ได้ก็เพราะมีอำนาจอธิปไตยหรือการที่บุคคลหนึ่งสามารถบังคับบัญชาผู้อื่นได้โดยไม่มีใครมาบังคับบัญชาตนก็เพราะบุคคลนั้นมีอำนาจอธิปไตยนั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น